นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการเปิดขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2567 ว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพราะต้องการแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติแย่งอาชีพสงวนของคนไทย นำแรงงานข้ามชาติเข้าสู่ระบบเพื่อตรวจสอบ ติดตาม และควบคุมการจ่ายภาษีและเงินสมทบประกันสังคมตามกฎหมายไทย รวมถึงดูแลคุณภาพชีวิตตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยทุกขั้นตอนของการขึ้นทะเบียนจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและเข้มงวด ทั้งการตรวจสุขภาพเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคเข้ามายังประเทศไทย การจัดเก็บอัตลักษณ์และพิสูจน์สัญชาติ ที่ต้องผ่านการรับรองจากทางการของประเทศต้นทาง ไม่ใช่รับรองฝ่ายเดียว หากพบว่าเคยกระทำผิดก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งจะต้องทำประกันภัยกับบริษัทที่มีความมั่นคง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สำหรับข้อกังวลเรื่องการเก็บภาษีหรือค่าใช้จ่ายการให้บริการต่าง ๆ จากแรงงานข้ามชาติของประเทศต้นทางนั้นถือเป็นเรื่องภายในประเทศ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่ามีการเรียกเก็บแต่อย่างใด แต่โดยหลักการแล้วไม่ว่าคนของประเทศไหนไปทำงานต่างประเทศก็ต้องส่งรายได้กลับประเทศเหมือนกับกรณีของคนไทยที่ไปทำงานประเทศอื่น ส่วนค่าใช้จ่ายในการต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติในลักษณะ MOU นั้น กระทรวงแรงงานได้ส่งหนังสือชี้แจงไปยังสภาผู้แทนราษฎรแล้วตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้านได้ตั้งข้อสังเกต โดยยืนยันว่าค่าใช้จ่ายต่อคนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 7,600 บาท ไม่ใช่ 20,000 บาท ตามที่มีการกล่าวอ้าง แบ่งเป็น ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานและเงินประกันของกระทรวงแรงงาน 2,900 บาท (ขอคืนเงินประกันได้ 1,000 บาท เมื่อครบสัญญา 2 ปี) ค่าธรรมเนียม VISA ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 500 บาท และค่าธรรมเนียมการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพ 2 ปี ของกระทรวงสาธารณสุข ไม่เกิน 4,200 บาท
“เราเปิดให้นายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อแรงงานข้ามชาติผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินการ ส่วนการจัดเก็บอัตลักษณ์และพิสูจน์สัญชาตินั้นตัวแรงงานเองไม่จำเป็นต้องเดินทางกลับออกนอกประเทศ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและความแออัดที่ด่านชายแดน โดยแม้จะมีศูนย์พิสูจน์สัญชาติโดยเฉพาะแรงงานเมียนมาเพียง 3 แห่ง คือ กทม. เชียงใหม่ ระนอง เพราะเจ้าหน้าที่จากทางการเมียนมามีไม่เพียงพอก็ตาม แต่กระทรวงแรงงานพร้อมขยายเวลาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง” นายภูมิพัฒน์ กล่าว